31 มีนาคม 2552
นั่งแปล Text ค่ะ ละก็ test Hub
ความจำเราสั้นเยี่ยงปลาทอง ผ่านไปไม่กี่วันเราไม่สามารถจำรายละเอียดได้
ไม่ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าเราไม่ค่อยอยากพิมพ์ถึงเพราะไม่เห็นว่ามันสำคัญ
1 เมษายน 2552
นั่งแปล Text ค่ะ ละก็ test Hub
ตอนบ่ายพอขึ้นจากพักเที่ยง ก็นั่งเล่นคอมเพราะอยากลองทำ Ad-hoc
จะได้เอาไอโฟนต่อเน็ตได้ แต่ทำไงมันก็ไม่ยอมแชร์เน็ต
และเพื่อนเราทั้งสองที่นั่งทั้งซ้ายและขวาของเราก็นั่งเล่นคอมธรรมดา
มิได้ทำงานแต่อย่างใด้ จู่ๆก็มีเสียงและบรรยากาศที่ไม่อยากเจอ
พี่xxx:ตั๊ก ทำอะไร(เสียงแบบแข็ง ละยากที่จะบรรยาย ขอสงวนนามเวลากล่าวถึงใครไม่ดี)
เรา:เอ่อ…พักผ่อนค่ะ(จะตอบว่ารอแปลText ก็กะไรอยู่ แม้ในความจริงจะรอเพื่อนเล่นคอม)
พี่xxx:ถ้าว่างก็ไปช่วยเพื่อนขัดโมเด็ม
เราก็ไปขัด แต่ที่เรารู้สึกแคลงใจก็ตรงที่ว่า เพื่อนเราสองคนมีคอม นั่งอยู่ด้านซ้ายและขวาของเรา
ทำไมพี่เขาถึงไม่พูดอะไรกับสองคนนั้น ซึ่งเปนชายทั้งคู่ และเราเป็นญนั่งตรงกลาง
ทำไมถึงมาเฉพาะเจาะจงกับเรา ทั้งๆที่ตอนพี่เขามาเพื่อนเขาก็นั่งเล่นอยู่แบบเห็นๆ
หน้าจอใหญ่มากเพราะเล่นโน๊ตบุค(น่าจะเห็นว่าไม่ได้ทำงาน) แต่เรากำลังนั่งจิ้มๆไอโฟน
ละก็ไปนั่งขัดโมเดม มันนรกมาก โมเดมที่แปะสติกเกอใหญ่ๆบนโมเดมและเก่าๆ
ทำให้ยากต่อการลอกออกมา ถึงลอกได้ก็จะมีเศษสติกติดเหลืออยู่ตรึม
เราถือว่าโมเดมแบบนี้เป็นของ rare item เนื่องจากน้อยคนนักที่จะเจอ…
และเราก็ดันเจอ
วันนี้แอบทำกุญแจหาย ดีนะที่นุทมา เลยทำให้เราสามารถนอนในห้องได้
2 เมษายน 2552
วันนี้ก็นั่งแปล Text ค่ะ ละก็ test Hub และก็นั่งแปะหัวแฟ้ม- –
วันนี้ไปกินข้าวที่ข้างหลังตึกคนเดียว ไม่ใช่ว่าไม่มีเพื่อน
แต่บางทีก็แค่อยากมีเวลาให้ตัวเอง อยากอยู่กับตัวเอง ไม่อยากมีชีวิตขึ้นกับใคร
ร้านข้างหลังส่วนใหญ่เป็นพวก”เส้น” มีแต่เส้นจริงๆ
ตั้งแต่ก๊วยเตี๋ยว ก๊วยจั๊บ ราดหน้า ผัดไท บะหมี่ บลาๆๆๆๆๆ
มีร้านที่เป็นข้าวอยู่ไม่กี่ร้าน และบางร้านก็หมดไปเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเราที่เป็นคนชอบกินข้าว แต่ตัดสินใจแล้วว่าจะลองมาที่ใหม่ๆเอง
ก็เลยไม่ย้อนกลับไปกินข้างหน้า ก็เลยไปกินร้านข้าวตามสั่ง
แพงกว่าข้างหน้า 5 บาท แต่อาหารข้างหน้ารสดีกว่านี้
ข้างหลังนี้ก็มีแหล่งช็อปปิ้ง แบบตลาดนัดเล็กๆ แต่มันคงไม่มีผลกับเรา
หากเปลี่ยนที่ช็อปปิ้งเปนที่สวนสัตว์คงทำให้เรามีความสุขมากกว่านี้เฮอๆ
3 เมษายน 2552
นั่งแปะหัวแฟ้มต่อ วันนี้พี่ตี๋ไม่อยู่ พี่อนันต์ไม่มา ละเราเอาโน๊ตบุคมา
เพราะกะว่าจะได้บินกลับบ้านเลย ละเมื่อคืนเราเพิ่งทำโน๊ตบุคเจ๊ง เลยเอาขึ้นมาเปิด
พอแก้ได้ก็ลงนั้นลงนี่ และมันต้องต่อเน็ตโดยเรายังไม่มีแอนตี้ไวรัส
ละก็นั่งประกอบน็อตค่ะ สนุกมือเลย
ละตอนสักบ่ายสองพี่ตี๋มา หันไปดูเขารอบแรกเขาก็มองมาอยู่
แต่แบบไม่ได้ดุว่าแต่อย่างใด พอเราเหนพี่ตี๋เราเลยรีบปิดและเก็บคอมอย่างไว
เนื่องจากเราไม่มีแอนตี้ไวรัสละแอบโหลดอยู่
พอพี่ตี๋หันมาอีกทีคอมเราก็หายไปเรียบร้อย ไวเหมือนเล่นมายากล
ดีนะที่เขาไม่ว่าไร เพราะหากเขาถามเปิดคอมต่เน็ตทำไม เราคงไม่มีเหตผลดีๆตอบ
ขนาดเพื่อนบอกทำงานให้พี่คนอื่น ละมันต้องใช้เน็ต พี่ตี๋ก็ยังว่า
แต่ก็นะ เราว่าบางทีเขาก็ซ้อมโหดด้วย ไม่ก็วันนี้เขาคงอารมดีเป็นพิเศษ
มาแหย่ด้วย “เป็นไง กระกอบน็อตได้ความรู้ไหม” เริ่ดเว่อ
ละก็นั่งอ่าน วิหารที่ว่างเปล่า จนจบ
มันทำให้เราสงสัยหลายอย่างเกี่ยวกับโลกนี้ ประเทศนี้ และตัวเรานี้
เขาเขียนทำนองว่า โลกเป็นวงวัฏแห่งการก่อเกิดและดับสูญ คือโลกถูก
ทำลายด้วยภัยธรรมชาติมาหลายรอบแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งจะเร่งทำลายวงจรของมนุษย์
ก็คือตัวมนุษย์เอง เนื่องจากกิเลสตัณหา
เราว่าทุกวันนี้โลกก็เป็นแบบนั้นอยู่ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำ ทำเพื่อตัวเองหรือประเทศชาติกันแน่
หลายๆอย่างมันต่างกันมากแต่ก็แยกออกจากกันได้ยาก
ทำให้นึกว่าอาจารย์เฉลิมศักดิ์ขึ้นมา ซึ่งท่านเคยบอกว่า เบื่อการมีชีวิตอยู่ในประเทศนี้
เคยมีบางเวลาที่รู้สึกอย่างที่อาจารย์พูด แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทำไมถึงต้องมีชีวิตอยู่…
อยู่เพื่อเขียนบล็อคให้เราอ่านไง อิอิ
สู้ๆๆ อย่าท้อแท้เลย
ปล. เราชอบอ่านเวลาแกเขียนเล่าเรื่องนะ สนุกดี ^^”
ไม่ได้ว่าเบื่อชีวิตอะไร
อยากกตัญญูต่อพ่อแม่ เปนเหตุผลสำคัญของการมีชีวิต
แต่ถ้าตัดเรื่องนี้ไป มันจะมีเหตุผลอะไรอีก
งั้นอะไร
คือเหตุผลของการ ไม่มีชีวิตอยู่ล่ะ
ตอบได้แล้วก็คงจะเข้าใจคำถามแรก
ตอบไม่ได้ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
บางทีเรื่องแบบนี้อาจไม่ต้องการเหตผล